เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ พ.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาสงบสงัด เห็นไหม เวลาสงบไงวิเวก สิ่งที่วิเวกนะ คนที่ประพฤติปฏิบัติต้องการมาก วิเวกจากภายนอก วิเวกจากภายใน ถึงแสวงหาที่ประพฤติปฏิบัติ วัดเป็นที่อยู่ อารามไง คนไม่มีเรือน สมณะต้องอยู่อารามไม่อยู่บ้าน

อาราม เห็นไหม วัดเหมือนกับโรงพยาบาลนะ ถ้าโรงพยาบาลเป็นที่รักษาคนไข้ แต่ถ้าโรงพยาบาลไม่ดีเขาเรียกว่าโรงฆ่าสัตว์ ถ้าโรงฆ่าสัตว์คนเข้าไปมันจะเจ็บช้ำน้ำใจ มันไม่ได้ประโยชน์อย่างที่เราว่า แต่ถ้าโรงพยาบาลดีเป็นโรงพยาบาลรักษาคนไข้

วัดก็เหมือนกัน วัดถ้าเป็นวัดนะ วัดประพฤติปฏิบัติ วัดจะชำระกิเลส วัดถ้าจะชำระกิเลสนะเราต้องหากิเลสของเราเอง วัดไม่ใช่สนามรบ ถ้าวัดเป็นสนามรบนะคอยจับผิดกันไง คอยหาจุดบกพร่องของคนอื่น แล้วมันจะเป็นปัญหาไปมาก แต่ถ้าวัดนะ ข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม วัดคือข้อวัตรปฏิบัติ พระนี่มีข้อวัตรปฏิบัติ ทำอะไรพร้อมเพรียงกัน ความทำอะไรพร้อมเพรียงกัน สิ่งนั้นเป็นเสมอกัน

ทิฐิเสมอกัน ศีลเสมอกัน ความเป็นอยู่ของสงฆ์จะมีความสุขมาก ทิฐิเสมอกันไง คำว่าทิฐิเสมอกัน เสมอกันโดยอะไร? เสมอกันโดยธรรมวินัยนะ มันจะเสมอกันไม่ได้หรอก เพราะคนเราเกิดมานี่ แม้แต่พ่อแม่ท้องเดียวกัน ความคิดความเห็นก็แตกต่างกันมา การเกิดและการตายในวัฏฏะ จิตนี่เกิดตายๆ ประสบการณ์ของจิตมันแตกต่างกันมา ความแตกต่างกันมามันมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในความคิด ถ้ามีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในความคิดต้องเอาธรรมวินัยเป็นตัวตั้ง ถ้าธรรมวินัยเป็นตัวตั้ง ข้อวัตรปฏิบัติเป็นตัวกรอบรักษาไว้

ถ้าสิ่งนี้รักษาไว้ เห็นไหม นี่วัดเป็นที่ประพฤติปฏิบัติ สนามรบเป็นสนามการค้า เขาว่านะ เป็นสนามรบ กิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรามันจะไปประพฤติปฏิบัติ การฆ่ากิเลสสำคัญอย่างยิ่งนะ แต่เราเอากิเลสไปฆ่าคน เอากิเลสไปฆ่าคนคือเราไปมองแต่คนอื่นไง ไปมองแต่ข้างนอกว่ามันผิดอย่างนั้น มันไม่ดีอย่างนั้น แต่เราไม่มองตัวเองเลยว่าเราไม่ดีอย่างไร?

ความไม่ดีอย่างไร นี่ธรรมะมันอยู่ที่นี่ คำว่าทวนกระแส ธรรมะทวนกระแส กระแสคือย้อนกลับมาดูตัวตนของเรา ดูความผิดพลาดของเรา ถ้าเราดูความผิดพลาดของเรา เห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ชนะสงครามนะทีละเป็นพันๆ ครั้ง ชนะอย่างนั้นไม่วิเศษเลย ชนะคนๆ เดียวสามารถวิเศษสุด

เวลาเขาเกิดสงครามกัน ความจริงการเกิดสงครามมันมีแต่ความเสียหายทั้ง ๒ ฝ่าย ผู้ชนะก็เสียหาย ผู้แพ้ก็เสียหาย เสียหายทั้งคู่เลย แต่เป็นเพราะทิฐิของผู้นำ ผู้นำตัดสินใจไม่ได้ ตัดสินใจไม่ได้ ทิฐิความเห็นของผู้นำคนๆ เดียว ทำให้ประเทศชาติ ทำให้สังคมทะเลาะเบาะแว้งกันไป เห็นไหม

แต่ในการประพฤติปฏิบัติ หัวใจเราหัวใจเดียว ถ้าหัวใจเดียวความคิดมันร้อยแปด ถ้าความคิดมันร้อยแปด สิ่งที่ย้อนกลับมา นี่ไงการฆ่ากิเลสประเสริฐที่สุด เอาชนะตนเองประเสริฐที่สุด ถ้าประเสริฐที่สุด เห็นไหม ที่นี่มันถึงจะเป็นโรงพยาบาล โรงพยาบาลนะคือการชำระไข้ การชำระให้คนเจ็บคนป่วยหายออกไปจากโรงพยาบาล คนเข้าไปโรงพยาบาลเพื่อจะไปรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะความเจ็บไข้ได้ป่วยทำให้เราทุกข์เราร้อนนะ เจ็บไข้ได้ป่วยเราก็ทุกข์อยู่แล้วเพราะมันเจ็บปวด ยังมีความวิตกกังวล มีอุปาทาน มีความรู้สึกทุกข์ร้อนไปหมดเลย ทุกข์ร้อนนะ เราเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วคนอื่นเขาจะทุกข์ร้อนไปกับเราไหม? มันมีความคิดไปร้อยแปด

การชำระกิเลสก็เหมือนกัน ถ้ามันชำระกิเลสมันย้อนกลับเข้ามา เวลาอยู่ในหมู่คณะ อยู่ในบ้านในเรือนจะมีความเพลิดเพลิน จะมีความอบอุ่นทั้งนั้นแหละ เวลาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม สถานที่วิเวก พอเข้าไปแล้วเราก็จะเสียวสันหลัง สถานที่ควรแก่การงาน เวลาเราไปเที่ยวป่าช้า ไปเที่ยวเพื่ออะไรกัน? ไปเที่ยวป่าช้านี่มันกลัวนะ มันกลัว พอคนมันกลัวขึ้นมามันจะย้อนกลับมาที่เรา แต่คนไม่กลัว พอไม่กลัวเลยนี่มันเก่ง

ถ้าคนไม่เคยกลัว ไม่เคยมีสิ่งใดครอบงำจิตใจมันจะเก่งมาก ความคิดของเรามันจะคิดไปร้อยแปดเลย แต่ไปอยู่ที่กลัวๆ ทำไมพระกรรมฐานต้องไปอยู่ในที่กลัวๆ กลัวเสือ กลัวสาง กลัวผี กลัวต่างๆ เข้าไปเที่ยวป่าช้า ไปอยู่กับซากศพ ซากศพ เห็นไหม เวลาเรากลัวขึ้นมามันน่าสังเวช คนเราเกิดมาอย่างนี้หมด เพราะอะไร? เพราะมันเป็นพื้นฐาน พื้นฐานของมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เวลาแยกออกไปแล้วไปอยู่กับซากศพมันจะมีความเสียวยอกใจ เวลาเสียวยอกใจขึ้นมา ความกลัวอันนั้นมันทำให้เราไม่คิดมาก

ไม่ให้เราคิดมาก เห็นไหม มันเป็นสถานที่ควรแก่การงาน ควรแก่การงานเพื่ออะไร? เพราะเอาชนะใจเราไง ถ้าเราอยู่ในที่คลุกเคล้า อยู่ในที่ต่างๆ มันนอนใจ พอนอนใจมันก็คิดแต่จะเพ่งโทษคนอื่น เวลาเราไปอยู่กับซากศพ ซากศพเราเพ่งโทษมันไม่ได้ แล้วมันสลดสังเวช สลดสังเวชว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ ตัวเองชนะคนอื่น แต่เวลาไปอยู่ในป่าช้า นี่แมลงสาบมันก็อยู่ในป่าช้านะ แมลงต่างๆ มันอยู่ในป่าช้า มันไม่เห็นกลัวผีกลัวสางเลย

เราเป็นสัตว์ประเสริฐ เราว่าเราเป็นมนุษย์ เราเป็นคนเก่ง ทำไมเราแย่กว่าสัตว์อีก สัตว์มันยังไม่กลัว มันหากินธรรมชาติของมัน เห็นไหม ดูวัวดูควายมันเข้าไปหากินในป่าช้ามันไม่ตกใจหรอก มันหากินหญ้าไปธรรมชาติของมัน เราเองทำไมมันไปตกใจขนาดนั้น นี่ความกลัว ถ้าเราคิดไปในทางโลกมันมองแล้วมันน่าสยดสยอง แต่ถ้าเป็นทางธรรมนะ สิ่งที่เป็นความกลัว มันเป็นการตั้งสติให้เราระลึกรู้อยู่ในตัวเอง ถ้าเราระลึกรู้อยู่กับตัวเองความคิดมันไม่ส่งออก

พลังงานมันส่งออก ความคิดคือพลังงานนะ เราคิดจนเหนื่อย เราคิดจนทุกข์จนยาก ความคิดเกิดจากเรา เราก็ไม่รู้ว่าเราคิดนะ คิดแล้วยังสะใจกับความคิดของตัวเองว่านี่สะใจมาก คิดได้ขนาดนี้ มีความรู้ขนาดนี้ เห็นไหม นี่พลังงานนี้มันส่งออก ที่มันทุกข์มันยากยังให้ค่ามันว่าเป็นความสุขอีก แต่เวลาเราไปอยู่ในที่กลัว มันคิดไปไหนล่ะ? มันกลัวจนคิดไม่ออก พอมันกลัวจนคิดไม่ออก นี่มันสงบลง พลังงานที่มันไม่เสียเปล่า พลังงานมันเริ่มสะสมตัวแล้วมันไม่เสียเปล่าออกไป

พอมันเสียเปล่าออกไป เห็นไหม นี่มันเสียเปล่าออกไป ถ้ามันเสียเปล่าออกไปมันก็ส่งออกไป แต่ถ้ามันเป็นความกลัว เพราะความกลัวพลิกมาให้เป็นมรรคไง พลิกมาให้เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าพลิกเป็นประโยชน์กับเรา มันก็จะเอาเราไว้ในอำนาจของเรา เอาจิตของเราไว้ เอากำลังของเราไว้ ถ้าเอากำลังของเราไว้ให้อยู่กับเรา นี่ความสุขเกิดจากความสงบไม่มี จิตมันสงบได้ ถ้าจิตสงบได้ อยู่กันในหมู่คณะ อยู่ในที่ชุมชน เราจะไม่เห็นความคิดอย่างนี้เลย เห็นแต่ความคิด มันฟาดฟันกันด้วยความคิด

“มนุษย์คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง”

ความคิดของเรา การกระทำของเรา เราไม่กล้าพูดออกไป แต่มันคิดอยู่ในหัวใจ แต่ขณะที่เราไปอยู่ในที่สงบสงัด เห็นไหม อยู่ในที่มันเป็นสิ่งที่น่ากลัว มันเป็นชัยภูมิของนักรบนะ รบกับใคร? รบกับกิเลส เห็นไหม นี่สนามรบ สนามรบของโลก สนามรบของเขา ธุรกิจคือสนามรบของเขา คือการตลาด สนามรบของสงครามคือสมรภูมิที่ปะทะกัน

สนามรบของธรรม สนามรบของธรรมมันอยู่ที่ไหน? นี่ไปเที่ยวป่าช้า ไม่ใช่เอาป่าช้าเป็นสนามรบหรอก ไม่ใช่เอาอะไรเป็นสนามรบเลย เอาหัวใจเป็นสนามรบ แต่มันหาหัวใจไม่เจอ มันหาเราไม่เจอ มันหาสถานที่ตั้งของความคิดไม่เจอ ความคิดมันมาจากไหน? ความคิดนี่มันคิดมาจากไหน? ความคิดมาจากใจ แล้วใจมันอยู่ไหนล่ะ? หาใจไม่เจอไง แต่ถ้าจิตสงบเข้ามา พอสงบเข้ามา ถ้ามันเป็นภวังค์นะ มันเป็นมิจฉา มันไม่เจอใจ ว่างๆ ว่างๆ

ว่างๆ ว่างๆ มันเป็นการสร้างภาพ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก เห็นไหม ชีวิตเรา ความคิดเหมือนพยับแดด เวลาเราไปบนถนน เห็นพยับแดดเป็นรูปเป็นเงาขึ้นมา เห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเลยนะ ความคิดก็เหมือนกัน ความคิดมันมาจากไหน? เวลามันคิดมามันเหมือนพยับแดด มันเป็นรูปเป็นร่างนะ ความคิดทำให้เรามีความคิด ให้เราต้องเดินตามมันไป มันสั่งเราได้หมดเลย มันบัญชาการชีวิตเราได้หมดเลย แล้วชีวิตต้องตามมันไป เห็นไหม นี่พยับแดด มันเป็นพยับแดดเฉยๆ แต่เราไม่เห็นมัน

ถ้าจิตสงบเข้ามาๆ ไอ้ว่าว่างๆ ว่างๆ มันไม่มีสตินะ มันส่งออกไป มันเพียงแต่เอาธรรมะมาตรึก มันเป็นตรรกะ มันตรึกในธรรม พอตรึกในธรรมขึ้นมามันปล่อยวาง ปล่อยความคิดไม่ใช่ตัวจิต เพราะความคิดกับพลังงานมันคนละอันกัน ถ้าความคิดกับพลังงานเป็นอันเดียวกันนะ ขณะที่มันไม่คิด ขณะคิดนี่คิดจนฟุ้งซ่าน คิดเป็นวันๆ คิดจนทุกข์มากเลย แล้วมันก็จางไป มันก็ดับไปเป็นธรรมดา

เวลามันดับไปเป็นธรรมดา คนที่ไม่คิด เวลาอยู่สุขสบายเราไม่ได้คิดเลย แล้วพลังงานไปไหนล่ะ? ถ้าพลังงานไม่มีนะ เราไม่มีชีวิตนะเราตาย คนที่ยังมีพลังงานอยู่ คนมีใจอยู่นี่ไม่ตาย พอไม่ตาย ร่างกายมันมีพลังนี้อยู่ แต่มันไม่ได้คิด เห็นไหม แล้วเวลาความคิดมันเกิดขึ้นมา ฟุ้งซ่านขึ้นมา สิ่งที่เป็นพลังงาน นี่เหมือนกัน เหมือนเวลาที่ว่าว่างๆ ว่างๆ มันเป็นการเผอเรอ มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นการสร้างความว่าง มันไม่ใช่ตัวมันเองว่าง ความสุขถึงไม่มีขึ้นมา มันเหมือนไม่มีผลตอบแทน มันไม่มีค่าความเป็นจริง

ถ้ามันมีค่าความเป็นจริง เห็นไหม สติมันจะตามความคิดนี้ไปตลอด ตามความรู้สึกเราไปตลอด เวลาสงบขึ้นมามันรู้ เอ๊ะ ความคิดมันคิดขึ้นมา ทำไมมันหยุดได้อย่างไร? มันหยุด เราอยู่กับความคิดเรา เราทึ่งมากนะ เราทึ่งมากเลย เราชนะตนเองแล้ว เราชนะตัวเราเอง นี่ไงสนามรบอยู่ที่นี่ ถ้าสนามรบเราอยู่ที่นี่ สนามรบเราไม่ใช่ออกไปเพ่งโทษคนอื่น ไม่ใช่ไปยุ่มย่ามกับคนอื่นนะ ต่างคนต่างทุกข์ยากกันมา ต่างคนต่างเกิดนะ แม้แต่พี่น้องกัน ดูสิพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เจ็บไข้ได้ป่วย เห็นไหม ได้แต่น้ำตาไหลนะ ได้แต่สงสาร ได้แต่สังเวช

ถ้าปลงธรรมสังเวช ชีวิตเป็นอย่างนี้ เกิดมานี่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา เสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา เป็นธรรมดา ชีวิตนี้มันต้องชราคร่ำคร่าเป็นธรรมดา เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา เห็นไหม มันสลดสังเวช มันช่วยเหลือเจือจานกันได้ไหม? แต่ถ้าเราไปเห็นความคิดเรานะ มันเกิดแล้วเราตามความคิดเราทัน แล้วความคิดมันหยุดได้ ความคิดหยุดได้มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ นี่มันถึงว่างเข้ามา

ถ้าเป็นกำหนดพุทโธ พุทโธ ถ้ามันว่างจริง ความว่างจริง อย่างเช่นเราไปเที่ยวป่าช้ากันนี่มันสงบ นี่สนามรบมันอยู่ที่นี่ ความเป็นไปข้างนอกนะ เราเป็นญาติกันโดยธรรม เป็นญาติกันโดยสายเลือดก็อย่างหนึ่ง เราอยู่ด้วยกัน เราเจือจานกัน ญาติกันโดยธรรม บางทีมันสนิทชิดเชื้อมากกว่าญาติกันทางสายเลือดอีก เพราะอะไร? เพราะมันเห็นคุณค่า มันเห็นคุณประโยชน์ เห็นไหม มันเห็นคุณค่า มันรักกัน มันซึ้งใจกันจริงๆ นี่ญาติกันโดยธรรม

ถ้าญาติกันโดยสายเลือด โดยสายเลือดเราเกิดมาเป็นพี่เป็นน้อง เป็นปู่ ย่า ตา ยาย นี่ญาติโดยสายเลือด ญาติโดยธรรม ญาติโดยสายเลือดมันก็เป็นสภาวะ มันเป็นญาติธรรมกันทั้งนั้นแหละ นี่เราเห็นสภาวะแบบนี้แล้วเขาก็ทุกข์มา เขาก็หาที่พึ่งอาศัย เราก็หาที่พึ่งอาศัย มันควรจะเจือจาน ควรจะเผื่อแผ่กัน นี้เป็นวัตร วัตรคือข้อวัตรปฏิบัติ คือวัดน้ำใจ วัดน้ำใจว่ามีน้ำใจไหม? น้ำใจดี น้ำใจเบียดเบียน น้ำใจเอารัดเอาเปรียบ

นี่ค่าน้ำใจ เห็นไหม ค่าน้ำใจคือค่าของธรรม ธรรมะอยู่ที่ใจ สิ่งที่จะพิสูจน์ธรรมะได้คือความรู้สึก คือใจนี่ธรรมะได้ พระไตรปิฎกเป็นกระดาษเปื้อนหมึก ปลวกมันกินทั้งเล่มๆ มันยังไม่ได้มีความรู้อะไรขึ้นมาเลย เราไปอ่านขึ้นมาก็เป็นสัญญา สัญญาคือความคิดไม่ใช่จิตไง ความคิดคือสัญญา คือข้อมูลที่ไปศึกษาธรรมะมา มันก็อยู่ที่ว่าว่างๆ ข้างนอกมันไม่เข้าถึงตัวใจ

ถ้าจิตสงบขึ้นมา เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต จิตมันสงบเข้ามา นี่สนามรบมันอยู่ที่นี่นะ สนามรบมันอยู่ในท่านั่งสมาธิ ในท่าเดินจงกรม ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราออกไปอ้าปากพูดออกไปมันนอกสนามรบแล้ว คนเกิดมานี่ มีปากมาเหมือนมีขวานมาคนละเล่ม ถากเขาไปทั่วนะ ปากๆ ถากคนนู้น ถากคนนี้ ถากเขาไปหมดเลย แล้วก็ยังคิดว่าตัวเองเก่งอีกนะ

นี่ก็เหมือนกัน หุบปากซะ แล้วเรามาภาวนาของเรานะ หุบปากเก็บขวานซะ เก็บขวานไว้ในใจของเรา แล้วเอาขวานนี้เปลี่ยนแปลงให้เป็นสมาธิ ให้เป็นสติถากถางกิเลสเรา ถ้าถากถางกิเลสสนามรบเกิดหรือยัง? สนามรบเกิดแล้ว เห็นไหม นี่มันจะมีกิจจญาณ มีการกระทำในหัวใจ เป็นสมาธิ เป็นสมาธิอย่างไร? เป็นปัญญา เป็นปัญญาอย่างไร? ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เริ่มต้นไม่เข้าใจก็ยังทึ่งนะ แค่ปัญญามันตามความคิดตัวเองทัน แล้วความคิดตัวเองสงบตัวลงมันก็ทึ่งมากแล้ว ทึ่งจนติดได้ว่าเป็นนิพพานๆ กัน ที่ว่านิพพาน เวลาจิตสงบ จิตดับหมดเป็นนิพพาน นิพพานเกิดดับๆ

การเกิดดับ นี่สวิตซ์ไฟฟ้ามันก็เกิดดับ ไฟฟ้าอัตโนมัติตามถนนมันก็เกิดดับ มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก การเกิดดับเป็นคำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมีเท่านี้ มันมีเท่านี้เหมือนคนรู้จริง เห็นไหม ชีวิตนี้เป็นพลังงาน พลังงานเป็นสสารที่มีชีวิต มันเป็นสันตติ มันเกิดดับ มันมีชีวิต มันไม่มีวันที่สิ้นสุด มันสืบต่อ มันไม่เคยตาย จิตไม่เคยตาย ตัวมันเองก็ไม่เคยตาย มันเป็นพลังงานที่เกิดดับ ที่สันตติตลอดเวลา

แต่พลังงาน เห็นไหม ที่ว่าชีวิตเป็นพลังงานๆ พลังงานอย่างนี้พลังงานทางโลก พลังงานทางวิทยาศาสตร์ พลังงานที่เราหล่อหลอมขึ้นมา พลังงานที่เราสะสม พลังงานที่เราแปรให้มันเป็นพลังงาน อย่างเช่นแสงแดดมันให้พลังงานไปเก็บสะสมไว้ แล้วมันก็หมดไปไง คือมันหมดสิ้นได้ มันมีแล้วมันก็ตาย มันไม่อยู่คงที่ไง แต่จิตนี้มันคงที่ ทั้งๆ ที่เป็นสสาร มันไม่มีชีวิต มันคงที่ตลอด จิตนี้คงที่ตลอด ถ้าไม่คงที่ตลอดไป นี่จริตนิสัยมันไม่มีมาอย่างนี้

คนนี่ความคิดไม่เหมือนกัน ความรู้สึกไม่เหมือนกัน ต่างๆ ไม่เหมือนกัน เพราะมันสะสมมา จิตนี้มันได้พัฒนาของมันมา มุมมองของชีวิตต่างๆ มันไม่เหมือนกัน ไม่มีจิตดวงใดเหมือนกันเลย เพราะระยะการเกิดและการตายมันต่างกัน แล้วการแปรสภาพ การแปรปรวนไง การทำความดีความชั่ว แม้แต่ในเหตุการณ์เดียวกัน ดูสิเราทำอะไรด้วยกัน ความรู้สึกที่มันฝังใจยังต่างกันเลย

ความรู้สึกที่มันดูดดื่ม ความดูดดื่ม บางคนซึ้งใจมาก ดูดดื่มมาก บางคนเฉยๆ เห็นไหม มันต่างกันๆ ทั้งนั้นแหละ สิ่งนี้มันถึงต่างกัน ความต่างกันของใจ ความต่างกันของกรรม สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเราเป็นนักรบกันมา เรามาอยู่วัดกันมาเราต้องมีข้อวัตร เอาสิ่งนี้เป็นกรอบ เป็นบรรทัดฐาน ทิฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน

นี่ถ้าเป็นสนามรบ ต้องเป็นสนามรบในหัวใจ แต่ถ้าเป็นวัดเป็นวา เป็นสัปปายะ เป็นที่อภัยทาน เราจะให้อภัยกัน เราจะช่วยเหลือเจือจานกัน เรามีปากมีท้องเหมือนกัน เราทุกข์มาเหมือนกัน สิ่งที่เจือจานกัน บังคับหัวใจไว้อย่าให้มันไปวุ่นวายข้างนอก แล้วสร้างมรรคญาณ สร้างสติ สร้างปัญญาขึ้นมาถากถางมัน ถากถางจิตของเรา ทวนกระแสเข้าไปทำงานในหัวใจ

งานข้างนอกทำแทนกันได้นะ ข้าวปลาอาหารเราก็เจือจานกันได้ แต่เจือจานแล้วก็ยังทุกข์ ยังร้อนกันอยู่ แต่ในหัวใจธรรมะมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง แล้วเราเข้ามาในสถานที่เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ทรงศีลนะ แล้วถ้าผู้ทรงศีลนั้นเกิดหัวใจเป็นธรรมขึ้นมา เป็นที่อยู่ของอริยเจ้า

ดูสิเราไปป่าไปเขา ถ้าเขาเอาศาลพระภูมิเก่าๆ ไปกองๆ ไว้ เดินไปยังต้องยกมือไหว้เลย กลัว นั่นเราไปไหว้วัตถุนะ แต่ที่อยู่ที่อาศัยของผู้ทรงศีล เห็นไหม มันเหมือนมนุษย์เรานี่แหละ เหมือนธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา จิตเป็นธรรมดา ความรู้สึกเป็นธรรมดา เป็นเหมือนเรานี่แหละ แต่ถ้ามันแก้ไขได้ สร้างมา สร้างใจขึ้นมาให้เป็นอริยภูมิขึ้นมาในหัวใจ แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา

วัดเป็นที่อยู่อาศัยของผู้มีธรรม แต่เรามีกิเลส เราเข้ามาในวัดเราก็ต้องพยายามกดไว้ ต้องเอาสติ เอาสมาธิต่างๆ แก้มันๆ แก้มันเพื่อจะให้เข้ากับสิ่งที่เป็นธรรมได้ ถ้าเข้าถึงสิ่งที่เป็นธรรมได้ หัวใจเราจะเป็นธรรม จะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง